โรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว คืออะไร สาเหตุเกิดจากอะไร รักษาวิธีไหนได้บ้าง?

โรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว คืออะไร สาเหตุเกิดจากอะไร รักษาวิธีไหนได้บ้าง?
สารบัญ

หัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation) ถือเป็นหนึ่งในภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่พบบ่อยที่สุด ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น หลอดเลือดสมองอุดตันหรือหัวใจล้มเหลว หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม การรับรู้ถึงอาการ สาเหตุ และแนวทางการรักษาจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือมีโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ บทความนี้ CR Heart Center ขอพาผู้อ่านมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วให้ลึกซึ้ง พร้อมแนะนำวิธีดูแลรักษาที่ได้ผล และบริการทางการแพทย์เฉพาะทางที่สามารถไว้วางใจได้

โรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว คืออะไร?

โรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation) คือ ภาวะที่หัวใจห้องบนเต้นผิดปกติ โดยมีการเต้นที่เร็วและไม่สม่ำเสมอ ทำให้เลือดสูบฉีดได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ การทำงานของหัวใจที่ผิดจังหวะนี้ส่งผลให้เลือดคั่งอยู่ในห้องบน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดลิ่มเลือด และนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดสมองอุดตัน โรคนี้ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มของโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ (ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ) โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่นๆ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

โรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว สาเหตุเกิดจากอะไร?

ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งที่เกี่ยวข้องกับระบบหัวใจโดยตรง และปัจจัยจากระบบอื่น ๆ ของร่างกาย การแยกแยะสาเหตุอย่างละเอียดช่วยให้แพทย์สามารถกำหนดแนวทางการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

1. สาเหตุที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ

ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วมักเกิดขึ้นจากความผิดปกติที่มีอยู่เดิมของระบบหัวใจ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการนำกระแสไฟฟ้าหัวใจที่ควบคุมการเต้นของหัวใจโดยตรง ความผิดปกติเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลต่อโครงสร้างหัวใจ แต่ยังเปลี่ยนแปลงหน้าที่ของหัวใจในระยะยาว ผู้ที่มีประวัติโรคหัวใจจึงมีแนวโน้มสูงที่จะพัฒนาเป็นภาวะ Atrial Fibrillation ได้มากกว่าผู้ที่ไม่มีโรคพื้นฐาน

  • โรคความดันโลหิตสูง ความดันที่สูงเป็นระยะเวลานานทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น จนกล้ามเนื้อหัวใจหนาขึ้นและสูญเสียความยืดหยุ่น ส่งผลต่อการนำไฟฟ้าในหัวใจ และกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในระยะยาว
  • โรคหลอดเลือดหัวใจ การอุดตันของหลอดเลือดหัวใจลดการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้เกิดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อหัวใจและกระทบต่อระบบนำไฟฟ้าหัวใจอย่างมีนัยสำคัญ
  • โรคลิ้นหัวใจ โดยเฉพาะลิ้นหัวใจไมตรัลที่ทำงานผิดปกติ เช่น ลิ้นหัวใจรั่วหรือตีบ อาจส่งผลให้เกิดแรงดันสะสมในหัวใจห้องบน ทำให้เกิดการขยายตัวผิดปกติและนำไปสู่ Atrial Fibrillation
  • ภาวะหัวใจล้มเหลว เป็นภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการคั่งของเลือดในหัวใจห้องบน และส่งผลต่อความเสถียรของระบบไฟฟ้าหัวใจ
  • โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หรือกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวผิดปกติ การอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจหรือภาวะ Hypertrophic Cardiomyopathy สามารถรบกวนการกระจายของกระแสไฟฟ้าในหัวใจ นำไปสู่จังหวะการเต้นที่ผิดปกติ
  • ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน เมื่อหัวใจได้รับเลือดไม่เพียงพอในระยะเวลาอันสั้น ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจบางส่วนขาดออกซิเจน เกิดความเสียหาย และนำไปสู่การเต้นผิดจังหวะได้
  • ภาวะหัวใจพิการแต่กำเนิด ความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจแต่กำเนิด เช่น ผนังกั้นห้องหัวใจรั่ว อาจมีผลต่อการไหลเวียนของกระแสไฟฟ้าในหัวใจ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด Fibrillation

2. สาเหตุที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ

แม้ว่าหลายกรณีของหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วจะเกิดจากโรคหัวใจโดยตรง แต่ก็มีอีกจำนวนไม่น้อยที่เกิดจากปัจจัยนอกระบบหัวใจ เช่น ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ ภาวะเครียด หรือการใช้สารกระตุ้นต่าง ๆ ซึ่งล้วนสามารถเปลี่ยนแปลงการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมการเต้นของหัวใจได้

  • ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ การที่ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนมากเกินไปจะกระตุ้นหัวใจให้เต้นเร็วผิดปกติ และเพิ่มความไวของระบบไฟฟ้าหัวใจจนทำให้เกิดภาวะ Atrial Fibrillation ได้
  • ภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ แม้จะพบได้น้อยกว่า แต่ไทรอยด์ต่ำก็อาจส่งผลต่อระดับอิเล็กโทรไลต์ในร่างกาย และนำไปสู่ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ในบางกรณี
  • ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ Sleep apnea ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนเป็นช่วง ๆ กระตุ้นการเปลี่ยนแปลงของระบบประสาทอัตโนมัติและกระทบจังหวะการเต้นของหัวใจ
  • โรคปอดเรื้อรัง โรคอย่าง COPD ทำให้ปอดแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้น้อยลง หัวใจต้องทำงานหนักมากขึ้นและนำไปสู่ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • การใช้สารกระตุ้น เช่น คาเฟอีน นิโคติน หรือยาเสพติดบางชนิด สามารถเร่งอัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้จังหวะการเต้นไม่สม่ำเสมอและเกิด Atrial Fibrillation คือ ภาวะหัวใจเต้นพลิ้ว
  • ความเครียดและความวิตกกังวล ส่งผลต่อฮอร์โมนและระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้จังหวะหัวใจผิดปกติ เป็นปัจจัยที่มักถูกมองข้ามแต่พบได้บ่อยในคนวัยทำงาน
  • การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาลดน้ำมูกหรือยาลดความดันบางกลุ่ม อาจมีผลกระตุ้นหัวใจและก่อให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • การผ่าตัดใหญ่ หรือภาวะหลังการผ่าตัดหัวใจ หลังการผ่าตัดร่างกายจะเกิดการอักเสบและไม่สมดุลของระบบไฟฟ้าหัวใจ ทำให้มีโอกาสเกิด AF ชั่วคราวหรือถาวร
  • พันธุกรรม บางคนมีการกลายพันธุ์ของยีนที่ควบคุมระบบไฟฟ้าหัวใจ ทำให้มีแนวโน้มเกิดภาวะหัวใจเต้นพริ้วตั้งแต่อายุยังน้อย
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในสตรี เช่น ภาวะหมดประจำเดือน หรือการตั้งครรภ์ อาจทำให้ระดับฮอร์โมนเพศแปรปรวน ส่งผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจ

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว

แม้ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วจะเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่การมีปัจจัยเสี่ยงบางประการยิ่งเพิ่มโอกาสเกิดโรคอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อมีหลายปัจจัยรวมกัน การเข้าใจความเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยให้สามารถวางแผนป้องกันหรือวินิจฉัยได้เร็วขึ้นก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง

  • อายุที่เพิ่มขึ้น อายุเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่เด่นชัดที่สุด โดยพบว่าความชุกของ Atrial Fibrillation เพิ่มขึ้นอย่างมากในผู้ที่มีอายุเกิน 65 ปี เนื่องจากความเสื่อมของระบบนำไฟฟ้าหัวใจตามธรรมชาติ
  • โรคความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตที่สูงเรื้อรังส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจห้องบนขยายตัวผิดปกติ ทำให้มีโอกาสสูงที่จะเกิดความผิดปกติของจังหวะการเต้นของหัวใจ
  • โรคหัวใจต่าง ๆ ผู้ที่มีประวัติโรคหัวใจ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ หรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ มีโอกาสสูงที่จะพัฒนาเป็นภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ AF โดยเฉพาะเมื่อหัวใจทำงานผิดปกติในระยะยาว
  • ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ การทำงานของต่อมไทรอยด์ที่มากเกินไปทำให้หัวใจเต้นเร็วเกินไป และเพิ่มความไวต่อสัญญาณไฟฟ้า ส่งผลโดยตรงต่อการเกิดหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว
  • โรคเบาหวาน น้ำตาลในเลือดที่ควบคุมได้ไม่ดีมีผลต่อหลอดเลือดขนาดเล็กทั่วร่างกาย รวมถึงกล้ามเนื้อหัวใจ และมีความเกี่ยวข้องกับภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดต่าง ๆ
  • ภาวะอ้วน น้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐานจะเพิ่มภาระให้กับระบบหัวใจ ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น และพบว่าผู้ที่มีภาวะอ้วนมีแนวโน้มเกิด Atrial Fibrillation มากกว่าคนทั่วไป
  • ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ การขาดออกซิเจนระหว่างนอนหลับเรื้อรังทำให้หัวใจมีภาวะเครียดอย่างต่อเนื่อง เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่กระตุ้นการเต้นผิดจังหวะของหัวใจ
  • การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป การบริโภคแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเป็นประจำ ทำให้หัวใจมีโอกาสเกิด “Holiday Heart Syndrome” ซึ่งคือภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะหลังการดื่มหนัก แม้ไม่มีโรคหัวใจมาก่อน
  • ภาวะเครียดและวิตกกังวล อารมณ์และระบบประสาทอัตโนมัติมีผลโดยตรงต่ออัตราการเต้นของหัวใจ หากอยู่ในภาวะเครียดเรื้อรังจะกระตุ้นการหลั่งสารคอร์ติซอลซึ่งอาจรบกวนจังหวะหัวใจ

ทำไมโรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วถึงอันตราย?

แม้บางรายอาจไม่มีอาการชัดเจน แต่โรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วแฝงไปด้วยความเสี่ยงที่รุนแรงต่อระบบไหลเวียนโลหิต โดยเฉพาะต่อสมองและหัวใจ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะฉุกเฉินที่มีผลถึงชีวิตได้

เพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง

หัวใจห้องบนที่เต้นสั่นพลิ้วอาจทำให้เกิดลิ่มเลือดในหัวใจ ซึ่งเมื่อหลุดไปยังสมอง จะส่งผลให้เกิดภาวะหลอดเลือดสมองอุดตัน เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยและอันตรายอย่างยิ่งในผู้ป่วย AF

ภาวะหัวใจล้มเหลว

หัวใจที่เต้นผิดจังหวะติดต่อกันเป็นระยะเวลานานจะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานลดลง จนนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว ซึ่งมักมาพร้อมอาการเหนื่อยง่าย หอบ หรือบวมตามร่างกาย

ลิ่มเลือดอุดตันในอวัยวะอื่น ๆ

นอกจากสมอง ลิ่มเลือดยังสามารถหลุดไปอุดตันที่อวัยวะอื่น เช่น ไต ลำไส้ หรือแขนขา ซึ่งล้วนก่อให้เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่ออย่างเฉียบพลัน

คุณภาพชีวิตลดลง

ภาวะใจสั่นอย่างต่อเนื่อง ร่วมกับอาการเหนื่อยง่าย อาจส่งผลให้ผู้ป่วยไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ ลดประสิทธิภาพในการทำงาน และส่งผลต่อสุขภาพจิตในระยะยาว

อาการของโรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว

ผู้ป่วยแต่ละรายอาจแสดงอาการแตกต่างกันออกไป บางรายอาจรู้สึกถึงอาการชัดเจน ในขณะที่บางรายไม่รู้ตัวเลยจนกระทั่งเกิดภาวะแทรกซ้อน จึงควรใส่ใจสัญญาณเตือนทุกประการ

1. อาการที่เกี่ยวข้องกับหัวใจและระบบไหลเวียนโลหิต

ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วอาจมีอาการที่หลากหลายและแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล อาการมักเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของระบบไหลเวียนโลหิตและหัวใจโดยตรง ซึ่งบางครั้งอาจรุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษาแบบฉุกเฉิน

  • ใจสั่น รู้สึกได้ถึงการเต้นของหัวใจอย่างผิดปกติ บางรายอาจรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ หรือเต้นเร็วแบบกระตุก ๆ จนรบกวนกิจวัตรประจำวัน
  • หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ เมื่อหัวใจห้องบนเต้นเร็วโดยไม่สอดคล้องกับห้องล่าง ทำให้ความเร็วของชีพจรผิดปกติและลดประสิทธิภาพในการสูบฉีดเลือด
  • เวียนศีรษะ หรือหน้ามืด เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้เกิดอาการมึนงง หน้ามืด หรือถึงขั้นหมดสติในบางราย โดยเฉพาะเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะเคลื่อนไหว
  • หายใจไม่อิ่ม หรือหอบเหนื่อย ระบบไหลเวียนโลหิตที่ลดลงส่งผลต่อปอดและการหายใจ ทำให้รู้สึกหอบ แม้เพียงกิจกรรมเบา ๆ เช่น เดินขึ้นบันได
  • เจ็บแน่นหน้าอก เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจที่ขาดเลือดเฉียบพลัน หรือหัวใจทำงานหนักเกินไป มักเป็นอาการที่ทำให้ผู้ป่วยรีบไปพบแพทย์

2. อาการที่เกี่ยวข้องกับภาวะแทรกซ้อนของโรคหัวใจห้องบนเต้นสั่นพลิ้ว

ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วไม่เพียงส่งผลต่อการเต้นของหัวใจโดยตรง แต่ยังสามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ อาการที่เกิดจากภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้มักแสดงออกผ่านระบบต่าง ๆ ของร่างกาย และจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยและดูแลอย่างใกล้ชิด

  • ภาวะหัวใจล้มเหลว หัวใจที่เต้นผิดจังหวะอย่างต่อเนื่องจะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจเสื่อมประสิทธิภาพลง ส่งผลให้ไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ได้เพียงพอ เกิดอาการเหนื่อยง่าย บวมที่ขา และหายใจลำบาก
  • โรคหลอดเลือดสมอง การเต้นผิดจังหวะของหัวใจห้องบนทำให้เลือดไหลเวียนไม่สม่ำเสมอ และเกิดลิ่มเลือดได้ง่าย ลิ่มเลือดที่หลุดเข้าสู่สมองจะอุดตันหลอดเลือด ทำให้เกิดอัมพฤกษ์หรืออัมพาตอย่างเฉียบพลัน
  • ลิ่มเลือดอุดตันในอวัยวะอื่น ๆ นอกจากสมอง ลิ่มเลือดยังสามารถหลุดไปอุดตันที่ไต ลำไส้ หรือแขนขา ทำให้เกิดเนื้อตายเฉียบพลัน หากไม่รักษาทันเวลา อาจต้องตัดอวัยวะหรือเกิดภาวะไตวายได้

โรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว มีการวินิจฉัยอย่างไร?

การวินิจฉัยโรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วต้องอาศัยทั้งการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และการตรวจวินิจฉัยทางเทคโนโลยี เพื่อยืนยันว่าอาการผิดปกติที่ผู้ป่วยแสดงออกมานั้นเกิดจาก Atrial Fibrillation หรือจากภาวะอื่นที่ใกล้เคียงกัน การวินิจฉัยที่แม่นยำจะช่วยให้การรักษาได้ผลดีและลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ

1. การซักประวัติและตรวจร่างกาย

แพทย์จะเริ่มจากการพูดคุยกับผู้ป่วยเพื่อเก็บข้อมูลอาการที่เกิดขึ้น ความถี่ ลักษณะของอาการ และประวัติครอบครัว รวมถึงปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง เช่น โรคประจำตัว พฤติกรรมการใช้ยา และการดำเนินชีวิต

  • สอบถามประวัติอาการใจสั่น เหนื่อยง่าย หรือหมดสติ
  • ตรวจชีพจรและวัดความดันโลหิต
  • ฟังเสียงหัวใจเพื่อค้นหาความผิดปกติ
  • ตรวจหาสัญญาณของภาวะหัวใจล้มเหลว เช่น ขาบวม หรือเสียงน้ำในปอด

2. การตรวจพิเศษเพื่อยืนยันการวินิจฉัย

เพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่แน่ชัด จำเป็นต้องอาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย ซึ่งช่วยให้เห็นภาพของระบบไฟฟ้าหัวใจและโครงสร้างหัวใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

  1. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) เป็นการตรวจพื้นฐานที่ช่วยระบุรูปแบบของหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดสั่นพลิ้วได้อย่างแม่นยำ
  2. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบพกพา (Holter Monitor) ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการเป็นช่วง ๆ โดยติดเครื่องตรวจตลอด 24–48 ชั่วโมงเพื่อบันทึกจังหวะหัวใจตลอดวัน
  3. การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (Echocardiogram) ใช้ดูโครงสร้างและการทำงานของหัวใจ เช่น ขนาดหัวใจ ลิ้นหัวใจ และการเคลื่อนไหวของผนังหัวใจ
  4. การตรวจเลือด ใช้ตรวจหาความผิดปกติที่อาจกระตุ้นให้เกิด AF เช่น ระดับไทรอยด์ อิเล็กโทรไลต์ หรือภาวะอักเสบ
  5. การตรวจอื่น ๆ (ขึ้นอยู่กับผู้ป่วย)
    • เอกซเรย์ทรวงอก เพื่อตรวจหาความผิดปกติของขนาดหัวใจหรือภาวะน้ำท่วมปอด
    • Stress test ประเมินหัวใจขณะออกกำลังกาย
    • Electrophysiology study (EPS) ตรวจระบบไฟฟ้าหัวใจโดยละเอียด เพื่อวางแผนรักษาด้วย Ablation

โรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว สามารถรักษาวิธีไหนได้บ้าง?

แนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับอาการ ระยะของโรค และปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และเพิ่มคุณภาพชีวิต

การใช้ยา

การรักษาด้วยยาเป็นแนวทางเบื้องต้นที่แพทย์มักเลือกใช้เพื่อควบคุมจังหวะและอัตราการเต้นของหัวใจ รวมถึงป้องกันลิ่มเลือดอุดตัน

  • ยาควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ เช่น beta-blockers หรือ calcium channel blockers ช่วยชะลอหัวใจห้องล่างให้เต้นช้าลงแม้ห้องบนยังเต้นผิดจังหวะอยู่
  • ยาควบคุมจังหวะหัวใจ (antiarrhythmics) ช่วยทำให้หัวใจกลับมาเต้นในจังหวะปกติ เหมาะกับผู้ที่มีอาการบ่อยหรือเรื้อรัง
  • ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulants) เช่น warfarin, DOACs ใช้ลดความเสี่ยงการเกิดลิ่มเลือดที่อาจหลุดไปอุดตันสมอง

หัตถการทางการแพทย์

กรณีที่การใช้ยาไม่สามารถควบคุมอาการได้ หรือผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อน แพทย์อาจแนะนำให้รักษาด้วยหัตถการเพื่อฟื้นฟูการทำงานของหัวใจ

  • การปรับจังหวะหัวใจด้วยไฟฟ้า (Cardioversion) ใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นหัวใจให้กลับมาเต้นในจังหวะปกติอย่างรวดเร็ว
  • การจี้หัวใจด้วยคลื่นวิทยุ (Catheter Ablation) เป็นการทำลายเนื้อเยื่อหัวใจบางส่วนที่เป็นแหล่งกำเนิดสัญญาณไฟฟ้าผิดปกติ
  • การฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) ใช้ในผู้ที่มีจังหวะหัวใจช้าร่วมกับสั่นพลิ้ว เพื่อควบคุมให้หัวใจเต้นอย่างสม่ำเสมอ

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยลดอาการและความรุนแรงของโรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว รวมถึงลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ

  • ลดน้ำหนักในผู้ที่มีภาวะอ้วน เพราะน้ำหนักส่วนเกินส่งผลต่อแรงดันในหัวใจและความดันโลหิต
  • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และคาเฟอีน ที่อาจกระตุ้นการเต้นผิดจังหวะ
  • ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เพื่อเสริมสมรรถภาพของหัวใจ โดยไม่กระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วเกินไป
  • เลิกบุหรี่ เพื่อป้องกันผลเสียต่อระบบหลอดเลือดและระบบประสาทที่ควบคุมการเต้นของหัวใจ
  • จัดการความเครียด ด้วยกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น สมาธิ หรือโยคะ
  • นอนหลับให้เพียงพอ เพื่อฟื้นฟูสมดุลของระบบประสาทอัตโนมัติ

โรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว สามารถป้องกันอย่างไรได้บ้าง?

แม้โรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วจะเป็นภาวะที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ แต่สามารถลดความเสี่ยงและป้องกันได้หากดูแลสุขภาพอย่างถูกวิธี การป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ ย่อมช่วยลดโอกาสเกิดโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะในอนาคตได้

ควบคุมความดันโลหิต

การควบคุมความดันให้อยู่ในเกณฑ์ปกติเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างหัวใจและการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจที่อาจนำไปสู่ Fibrillation คือหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

รักษาสุขภาพหัวใจ

การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไขมันต่ำ และอุดมไปด้วยผักผลไม้ ช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง และลดความเสี่ยงโรคหัวใจห้องบนเต้นสั่นพลิ้ว

ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม

การออกกำลังกายอย่างพอเหมาะสม่ำเสมอ ช่วยควบคุมน้ำหนัก ปรับสมดุลระบบประสาทอัตโนมัติ และช่วยให้หัวใจทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ควบคุมน้ำหนัก

ภาวะอ้วนเป็นปัจจัยกระตุ้นการเกิดโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ AF การลดน้ำหนักในผู้ป่วยที่มีน้ำหนักเกินจึงมีผลช่วยลดความเสี่ยงของโรคนี้ได้

ลดแอลกอฮอล์และคาเฟอีน

การดื่มเครื่องดื่มกระตุ้นหัวใจ เช่น แอลกอฮอล์หรือคาเฟอีนในปริมาณมาก อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิด Atrial Fibrillation เกิดจากการทำงานของระบบไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ

จัดการความเครียด

ความเครียดเรื้อรังส่งผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติ และเป็นตัวกระตุ้นการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ การฝึกผ่อนคลาย เช่น โยคะหรือสมาธิ เป็นแนวทางที่แนะนำ

นอนหลับให้เพียงพอ

การพักผ่อนที่ไม่เพียงพออาจส่งผลให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างเฉียบพลัน โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย

รักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

Sleep apnea เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของภาวะ Atrial Fibrillation คืออะไร การตรวจและรักษาอาการนอนกรนหรือหยุดหายใจจึงควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด

หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และสารกระตุ้น

การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ รวมถึงผลเสียต่อหลอดเลือดและระบบไฟฟ้าหัวใจโดยตรง

หากต้องการรักษาโรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว ทำไมต้องเลือกใช้บริการ CR Heart Center?

CR Heart Center ให้บริการดูแลรักษาโรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วอย่างครบวงจร ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางหัวใจที่มีประสบการณ์สูง พร้อมเทคโนโลยีทางการแพทย์ล้ำสมัย ทั้งในด้านการวินิจฉัย เช่น คลื่นหัวใจ AF แบบต่อเนื่อง และการรักษาเชิงรุก เช่น การจี้คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Ablation) ศูนย์ของเรายังเน้นการดูแลแบบองค์รวมตั้งแต่การวางแผนการรักษาระยะยาว การให้คำปรึกษาทางโภชนาการ และการส่งเสริมสุขภาพจิตเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถฟื้นฟูและใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพสูงสุด

สรุป

หัวใจห้องบนสั่นพลิ้วเป็นภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจล้มเหลวได้ การรู้เท่าทันอาการ สาเหตุ และวิธีรักษา เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง CR Heart Center พร้อมให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคหัวใจห้องบนเต้นสั่นพลิ้วโดยทีมแพทย์เฉพาะทางที่เชี่ยวชาญ ทั้งในแง่การแพทย์และการดูแลแบบองค์รวม เพื่อให้คุณมีสุขภาพหัวใจที่แข็งแรงและคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว

อาการหัวใจเต้นพลิ้ว (Atrial Fibrillation) คืออะไร?

Atrial Fibrillation คือภาวะที่หัวใจห้องบนเต้นอย่างไม่เป็นจังหวะ รวดเร็ว และสั่นคล้ายการกระพือของปีกผีเสื้อ ซึ่งส่งผลให้เลือดไหลเวียนไม่สม่ำเสมอ เพิ่มโอกาสการเกิดลิ่มเลือดในหัวใจ เมื่อเกิดลิ่มเลือดและหลุดไปอุดตันที่สมอง อาจนำไปสู่โรคหลอดเลือดสมองได้ จัดเป็นภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่พบบ่อยในผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคหัวใจหรือโรคเรื้อรังร่วมด้วย

โรคหัวใจเต้นพริ้วรักษาหายได้ไหม?

การรักษาภาวะหัวใจเต้นพริ้วสามารถควบคุมอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้ดี หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดยอาจใช้ยาควบคุมจังหวะหัวใจ การทำ Cardioversion หรือ Catheter Ablation ซึ่งในผู้ป่วยบางรายสามารถคืนจังหวะหัวใจให้เป็นปกติได้อย่างถาวร อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยยังคงต้องใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันลิ่มเลือด

โรคหัวใจพริ้วอันตรายไหม?

แม้บางรายไม่มีอาการรุนแรง แต่ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วจัดว่าเป็นโรคที่อาจนำไปสู่ผลกระทบต่อชีวิตได้ หากไม่รับการวินิจฉัยและดูแลที่เหมาะสม โดยความเสี่ยงที่พบได้ ได้แก่:

  • โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke): ลิ่มเลือดจากหัวใจสามารถหลุดไปอุดตันที่สมอง ก่อให้เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิต
  • หัวใจล้มเหลว: การเต้นผิดจังหวะนาน ๆ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจเสื่อมลงจนสูบฉีดเลือดไม่ได้
  • ลิ่มเลือดอุดตันในอวัยวะอื่น: เช่น ลำไส้ ไต หรือแขนขา ซึ่งอาจทำให้เกิดเนื้อตายเฉียบพลัน

อาการหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดสั่นพลิ้ว เกิดจากอะไร?

สาเหตุของหัวใจเต้นผิดจังหวะ AF มีทั้งปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและปัจจัยที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง ซึ่งมีผลต่อระบบไฟฟ้าหัวใจ ได้แก่:

  • โรคหลอดเลือดหัวใจและลิ้นหัวใจผิดปกติ
  • ภาวะความดันโลหิตสูงหรือเบาหวาน
  • ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ หรือฮอร์โมนผิดปกติ
  • ภาวะอ้วน และหยุดหายใจขณะหลับ
  • ความเครียดเรื้อรัง หรือการใช้สารกระตุ้น เช่น คาเฟอีน แอลกอฮอล์ ยาบางชนิด

โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ห้ามกินอะไร?

โภชนาการเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการควบคุมภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ การเลือกอาหารที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่:

  • เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูง: เช่น กาแฟเข้ม ชาเขียว ชาแดง ซึ่งกระตุ้นหัวใจให้เต้นเร็วผิดปกติ
  • แอลกอฮอล์: การดื่มปริมาณมากอาจกระตุ้นให้หัวใจเต้นพลิ้วได้โดยตรง
  • อาหารที่มีโซเดียมสูง: เช่น อาหารแปรรูป บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
  • อาหารไขมันสูง: เพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ อาทิ ของทอดและเนื้อสัตว์ติดมัน
  • ยากระตุ้นหัวใจบางชนิด: โดยเฉพาะยาลดน้ำมูกหรือยาสมุนไพรบางตัวที่มีผลกระทบต่อหัวใจ

บทความล่าสุด

หัวใจห้องล่างเต้นเร็วผิดจังหวะ

ภาวะหัวใจห้องล่างเต้นเร็วผิดจังหวะ คืออะไร รักษาวิธีไหนได้บ้าง?

ภาวะหัวใจห้องล่างเต้นเร็วผิดจังหวะ เป็นความผิดปกติของระบบไฟฟ้าหัวใจที่ทำให้เกิดจังหวะหัวใจเต้นเร็วเกิน 100 ครั้ง/นาที รักษาได้ด้วยยาต้านอารีทเมียและการใช้ไฟฟ้าช็อต

ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน อาการเป็นอย่างไร

กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน เกิดจากอะไร รักษาวิธีไหนได้บ้าง?

กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน เป็นภาวะฉุกเฉินที่เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดแดงเลี้ยงหัวใจ ทำให้เกิดอาการปวดหน้าอกรุนแรง ต้องรักษาด้วยการสวนหัวใจเร่งด่วน

อาการเตือน ภาวะหลอดเลือดหัวใจหดเกร็ง

ภาวะหลอดเลือดหัวใจหดเกร็ง เกิดจากอะไร รักษาวิธีไหนได้บ้าง?

หลอดเลือดหัวใจหดเกร็ง หรือ Coronary Artery Spasm สาเหตุจากการบีบตัวของผนังหลอดเลือด ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจลดลง พร้อมวิธีการรักษาด้วยยาขยายหลอดเลือด