ภาวะหัวใจห้องล่างเต้นเร็วผิดจังหวะ เป็นหนึ่งในภาวะ หัวใจเต้นผิดจังหวะ ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที โดยเฉพาะเมื่อการเต้นผิดปกตินี้มีต้นกำเนิดจากห้องล่างของหัวใจซึ่งเป็นห้องสำคัญในการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายทั้งระบบ บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจลึกถึงสาเหตุ กลไกการเกิด อาการที่ควรระวัง ไปจนถึงแนวทางการรักษาที่ทันสมัย ซึ่ง CR Heart Center พร้อมให้บริการดูแลอย่างครบวงจรด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ
ภาวะหัวใจห้องล่างเต้นเร็วผิดจังหวะ คืออะไร?
ภาวะหัวใจห้องล่างเต้นเร็วผิดจังหวะ (Ventricular Tachycardia: VT) คือภาวะที่จังหวะการเต้นของหัวใจเกิดจากห้องล่าง ซึ่งเต้นในอัตราที่เร็วกว่าปกติ โดยมีอัตราการเต้นเกิน 100 ครั้งต่อนาที และมีต้นกำเนิดของกระแสไฟฟ้าผิดปกติจากกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่าง อาการนี้จัดอยู่ในกลุ่มของ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ที่มีความรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจหยุดเต้นหรือนำไปสู่การเสียชีวิตเฉียบพลันได้หากไม่ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที
กลไกการเกิดภาวะหัวใจห้องล่างเต้นเร็วผิดจังหวะ
กลไกหลักของภาวะนี้มักเกิดจากกระแสไฟฟ้าในกล้ามเนื้อหัวใจที่ลัดวงจร หรือที่เรียกว่า “Reentry Circuit” ซึ่งทำให้หัวใจห้องล่างเกิดการเต้นวนซ้ำในวงจรผิดปกติ นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจบางบริเวณที่มีการสร้างกระแสไฟฟ้าเองโดยไม่ต้องรอการกระตุ้นจากปมไซนัส (Ectopic Focus) ส่งผลให้เกิดการเต้นเร็วอย่างไม่มีการควบคุม
ปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุที่ควรระวัง
ภาวะหัวใจห้องล่างเต้นเร็วผิดจังหวะ มักพบในผู้ที่มีความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจจากโรคเดิม หรือมีประวัติหัวใจขาดเลือดมาก่อน โดยสาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่:
- กล้ามเนื้อหัวใจตายจากภาวะหัวใจขาดเลือดเรื้อรัง ทำให้เกิดแผลเป็น (fibrosis) ในกล้ามเนื้อหัวใจ
- ภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง ทำให้หัวใจมีโอกาสเกิดวงจรการเต้นผิดปกติ
- โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ที่มีผลต่อโครงสร้างหัวใจ
- ผลข้างเคียงจากยาหรือสารเสพติดบางชนิด เช่น ยากระตุ้นประสาท หรือสารออกฤทธิ์ต่อหัวใจ
อาการของภาวะหัวใจห้องล่างเต้นเร็วผิดจังหวะ
ผู้ป่วยแต่ละรายอาจแสดงอาการแตกต่างกันตามระดับความรุนแรงของการเต้นผิดจังหวะ โดยอาการทั่วไปได้แก่:
- ใจสั่นหรือรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงผิดปกติ
- วิงเวียน หน้ามืด หรือหมดสติชั่วคราว
- หายใจลำบาก เหนื่อยง่าย แม้ขณะพัก
- เจ็บหน้าอกคล้ายหัวใจขาดเลือด
- ในบางรายอาจหมดสติทันที หากหัวใจหยุดฉีดเลือด
หากมี อาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ ดังกล่าว ควรเข้ารับการวินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะทางทันที
วิธีการวินิจฉัย: รู้ให้ชัดก่อนรักษา
การวินิจฉัยภาวะหัวใจห้องล่างเต้นเร็วผิดจังหวะ จำเป็นต้องอาศัยการตรวจอย่างละเอียด โดยแพทย์จะเลือกวิธีการที่เหมาะสมตามอาการของผู้ป่วย ซึ่งประกอบด้วย:
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG): เป็นเครื่องมือเบื้องต้นที่สามารถจับจังหวะการเต้นของหัวใจและตรวจพบลักษณะของ VT ได้อย่างแม่นยำ
- การติด Holter Monitor: เป็นการติดอุปกรณ์เพื่อบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจต่อเนื่อง 24-48 ชั่วโมง เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการเป็นๆ หายๆ
- Electrophysiology Study (EPS): เป็นการใส่สายสวนเข้าไปในหัวใจเพื่อตรวจสอบเส้นทางการนำไฟฟ้าภายในห้องหัวใจ เหมาะสำหรับกรณีที่ต้องพิจารณาแนวทางการรักษาเชิงลึก
แนวทางการรักษา: ปรับจังหวะให้กลับคืนสู่สมดุล
การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้ำ โดยอาจใช้วิธีการรักษาแบบผสมผสาน ได้แก่:
- การใช้ยา เช่น ยาต้านจังหวะหัวใจผิดปกติ (Antiarrhythmic drugs) เพื่อควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ
- การใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจและช็อกไฟฟ้า (ICD) ในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง แพทย์อาจแนะนำการฝังเครื่อง ICD ซึ่งสามารถช็อกหัวใจให้กลับมาเต้นเป็นปกติหากตรวจพบจังหวะ VT ที่อันตราย
- การจี้ด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (Radiofrequency Ablation) เป็นการทำลายเนื้อเยื่อที่ก่อให้เกิดวงจรไฟฟ้าผิดปกติในหัวใจ
การป้องกันภาวะกลับมาเป็นซ้ำ
แม้จะได้รับการรักษาแล้ว แต่อัตราการกลับมาเป็นซ้ำของภาวะหัวใจห้องล่างเต้นเร็วผิดจังหวะยังคงเป็นความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม การป้องกันจึงต้องอาศัยทั้งการควบคุมปัจจัยเสี่ยงอย่างต่อเนื่องและการติดตามอาการอย่างใกล้ชิดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเพิ่มโอกาสการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว
- ควบคุมโรคหัวใจพื้นฐานที่เป็นสาเหตุร่วม เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง หรือหัวใจล้มเหลว ควรได้รับการรักษาและควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อลดการกระตุ้นจังหวะหัวใจผิดปกติ
- ติดตามผลทางการแพทย์อย่างสม่ำเสมอ การตรวจติดตามด้วย ECG หรือการปรับยาตามคำแนะนำของแพทย์เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันไม่ให้จังหวะผิดปกติกลับมาเกิดซ้ำ
- การฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจแบบถาวร (ICD) ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงหรือเคยเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น แพทย์อาจแนะนำการใส่ ICD ซึ่งช่วยตรวจจับและช็อกไฟฟ้าหัวใจเมื่อเกิดจังหวะผิดปกติขึ้นอีกครั้ง
- ดูแลสุขภาพด้วยพฤติกรรมที่เหมาะสม งดบุหรี่ แอลกอฮอล์ และสารกระตุ้นหัวใจ เช่น คาเฟอีนในปริมาณสูง รวมถึงการพักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายตามคำแนะนำของแพทย์
- จัดการความเครียดและภาวะทางอารมณ์ ความเครียดเรื้อรังสามารถกระตุ้นหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ การเรียนรู้วิธีผ่อนคลายหรือปรึกษาจิตแพทย์เมื่อจำเป็นจึงเป็นอีกหนึ่งแนวทางการป้องกันที่สำคัญ
ความสำคัญของการตรวจหัวใจประจำปี
ผู้ที่ไม่มีอาการทางหัวใจอาจคิดว่าตนเองปลอดภัย แต่ความจริงแล้วโรคหัวใจโดยเฉพาะกลุ่มของ หัวใจเต้นผิดจังหวะ สามารถแฝงตัวอยู่โดยไม่แสดงอาการใด ๆ การตรวจหัวใจเป็นประจำจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการค้นหาและป้องกันโรคหัวใจแต่เนิ่น ๆ ก่อนจะสายเกินไป
- ช่วยตรวจพบความผิดปกติในระยะเริ่มต้น เครื่องมืออย่างคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) หรือการทำ Echo สามารถระบุจังหวะหัวใจที่ผิดปกติได้ แม้ในกรณีที่ผู้ป่วยยังไม่มีอาการ
- ติดตามภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในผู้ที่เคยมีประวัติ ผู้ที่เคยเป็นภาวะหัวใจห้องล่างเต้นเร็วผิดจังหวะมาก่อนควรเข้ารับการตรวจตามนัดอย่างเคร่งครัด เพื่อเฝ้าระวังการกลับมาเป็นซ้ำ
- ประเมินประสิทธิภาพการรักษาในระยะยาว สำหรับผู้ที่รับการรักษาด้วยยา ICD หรือ Ablation การตรวจหัวใจช่วยประเมินว่าหัวใจตอบสนองต่อการรักษาเพียงพอหรือไม่
- เหมาะสำหรับกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง มีไขมันในเลือดสูง หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ ควรได้รับการตรวจหัวใจปีละ 1 ครั้งขึ้นไป
- เป็นแนวทางวางแผนสุขภาพในอนาคต
ข้อมูลจากการตรวจหัวใจช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการป้องกันและรักษาโรคหัวใจได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สรุป: การดูแลหัวใจให้ปลอดภัยจากภาวะหัวใจห้องล่างเต้นเร็วผิดจังหวะ
ภาวะหัวใจห้องล่างเต้นเร็วผิดจังหวะ เป็นภาวะที่อาจพัฒนาไปสู่การเสียชีวิตเฉียบพลันได้หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและดูแลอย่างถูกต้องและทันท่วงที ด้วยบริการของ CR Heart Center ซึ่งมีทีมแพทย์หัวใจผู้เชี่ยวชาญ พร้อมเครื่องมือที่ทันสมัยและแนวทางการรักษาที่ครอบคลุม ตั้งแต่การวินิจฉัยไปจนถึงการดูแลระยะยาว คุณสามารถมั่นใจได้ว่าหัวใจของคุณจะอยู่ในมือที่ปลอดภัยและเชี่ยวชาญ